คลังเก็บป้ายกำกับ: ข่าวกีฬา

กัปตันทีมใจสิงห์ จอนห์ เทอรี่

จอนห์ เทอรี่ บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรเชลซี สิงห์บูล ยอดทีมของกรุงลอนดอน ที่เรียกได้ว่าเป็นเด็กปั้นที่โตขึ้นมากับสโมสรแห่งนี้ ที่เป็นแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ และภักดีกับสโมสรแห่งนี้มาเกือบ ยี่สิบปี หรือสองทศวรรษ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ครอบครัวของเค้าทั้งคุณพ่อและพี่ชาย กับเป็นแฟนของสโมสรแมนยูไนเต็ด แต่ด้วยความที่เค้าเป็นตัวของตัวเองสูงจึงไม่สนใจว่าครอบครัวเค้าจะเชียร์ใคร โดนจอนห์ เทอรี

เริ่มเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกม และเชื่อหรือไม่ว่าตัวเค้าเองนั้นได้ถูกเรียกไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรแมนยูไนเต็ด ในยุคของ เซอร์ อเล็กเฟอร์กูสัน โดยเทอรี่ ได้เดินทางไปทดสอบฝีเท้า ตามคำขอของคุณพ่อของเค้า แต่ช่วงเวลาเดียวกัน สิงห์บลู เชลซี ก็ยื่นข้อเสนอเข้ามาให้ไปทดสอบฝีเท้าเหมือนกัน และ เทอรี่ ก็ยืนกรานที่จะเล่นให้กับเชลซี ถึงขนาดต้องขัดใจคุณพ่อของเค้าเลยทีเดียว 

ในช่วงเวลาที่เริ่มต้นกับเชลซี เป็นช่วงที่เชลซี ขาดแคลนตำแหน่งกองหลัง

เค้าจึงถูกดันลงไปเล่นตำแหน่งนั้น และเค้าก็ทำได้ดี จนวัย 17 ปี โอกาสของเค้าก็มาถึง และเบอร์เสื้อของเค้าในสีเสื้อตัวจริงนั้นคือเบอร์ 26 ซึ่งเทอรี่ ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่เค้าเลือกเบอร์นี้ก็เพราะ จิอัน ฟรังโก้โซล่า ใส่เสื้อเบอร์ 25 และเค้าต้องการนั่งข้างตำนานของสโมสรแห่งนี้ โครตคลาสสิค จริงๆ

และวันที่เค้าได้ลงเล่นตัวจริงก็มาถึง แมตช์แรกในสีเสื้อเชลซี กับแอสตันวิลล่า ในฟุตบอลคาร์ลิ่งคัพ หลังจากนั้น เทอรี่ ถูกยืมตัวไปเล่นกับน๊อตติ้งแฮมฟอเรสต์ เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะกลับมาสู่สโมสร และเริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงได้จาก 

ฟร้อง เลอเบิฟ ซึ่งนั่นทำให้เค้าได้มีโอกาสเล่นคู่กับสุดยอดกองหลังแชมป์โลก อย่างมาร์เซล เดอไซญี่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ส่วนตัวของเทอรี่เลยเดียว และจากที่เดอไซญี่ ปลดระวางไปนั้น เทอรี่ ได้รับปลอกแขนกัปตันทีมต่อจากเดอไซญี่ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสโมสร ที่โรมัน อบาฮิมโมวิช

เข้ามาเทคโอเวอร์ พร้อมกับการเข้ามาของโฆเซ่ มูริญโญ่ และนั่นเป็นจุดพลิกผันของเชลซีและตัวของเทอรี่เอง เพราะเม็ดเงินที่มากมายของสโมสร บวกกับฝีมือของมูริญโญ่ ทำให้มีนักเตะระดับสตาร์เข้ามาโลดแล่นอยู่มากมายคนแล้วคนเหล่า แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลย เทอรี่ ยังคงยืนปักหลักเป็นกองหลังสวมปลอกแขน พาทัพนักเตะสิงห์บลู ออกล่าแชมป์ และเก็บแชมป์มานับไม่ถ้วนเกือบ 2 ทศวรรษ ซึ่งทำให้เค้าถูกยกย่องว่า นี่คือกัปตันหัวใจสิงห์ตัวจริง

การเลือกกัปตันทีม

ขึ้นชื่อว่ากัปตันนั้น ถือว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ถือว่าหนักที่สุดในสนามฟุตบอล เพราะตำแหน่งนี้หากจะเปรียบเทียบไปก็คือความเป็นผู้นำนี่เอง หลายๆ สโมสรนั้นมักจะเลือกตำแหน่งนี้ในแง่หลายๆ ด้าน บางสโมสรก็เลือกจากเด็กปั้นที่โตมากับสโมสรเลย ตั้งแต่ชุดเยาวชน จนถึงได้มีโอกาสมาเล่นชุดใหญ่

ส่วนบางสโมสรก็เลือกจากความสามารถของตัวบุคคล ซึ่งไม่ได้สนใจว่าเล่นอยู่ตำแหน่งไหน อาจจะเป็น กองหน้า กองกลาง กองหลัง หรือผู้รักษาประตูนั้นได้หมด และบางสโมสรก็อาจจะเลือกด้วยวัยวุฒิ ที่อยู่กับทีมมานานกว่าคนอื่น

ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นแค่ตัวสำรอง แต่เมื่อถูกเปลี่ยนลงมานั้น ปลอกแขนกัปตันทีมก็ยังต้องมาอยู่ที่เค้า หรือบางสโมสรก็เลือกจากภาวะความเป็นผู้นำ ซึ่งแฟนบอลหลายๆ คนอาจจะเห็นว่า ทำไมนักเตะคนนี้เล่นไม่เห็นเก่ง หรือเล่นไม่เห็นโดดเด่นเลย แต่ทำไมถึงได้เป็นกัปตัน ก็เพราะเค้ามีความเป็นผู้นำที่เวลาเกิดปัญหาในสนาม จะคอยว่ากล่าวตักเตือนเพื่อนร่วมทีม หรือเป็นศูนย์รวมจิตใจเวลาที่ทีมต้องการกำลังใจ และเป็นคนที่คอยแก้ไขสถานการณ์ คุยกับผู้ตัดสินให้เข้าใจหลายๆครั้งนั้น 

บางสโมสรจะมีการตั้งตำแหน่งกัปตันทีม 

และรองกัปตันทีมเบอร์หนึ่ง และรองกัปตันทีมเบอร์สองเอาไว้ แต่คงไม่ถึงขนาดมีเบอร์สามหรอก เพราะน้อยครั้งที่จะไม่สามผู้เล่นที่เลือกไว้แล้ว ไม่ได้ลงสนามเลย ซึ่งสาเหตุที่ต้องเลือกไว้ถึงสามคนก็เพราะว่า ยุคสมัยนี้ฟุตบอลได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ค่อยจะมีสโมสรไหนที่ผูกขาดการเป็นกัปตันทีม อาจจะเพราะด้วยเหตุผลเรื่องของการตลาดที่เปลี่ยนแปลงกันค่อนข้างเร็ว หรือเรื่องของแท๊กติกในการปรับทีม

เพราะเมื่อก่อนคนที่เป็นกัปตันได้นั้น นั่นหมายความว่า เค้าจะยึดการเป็นนักเตะ หนึ่งในสิบเอ็ดตัวจริงอย่างแน่นอน แต่ยุคสมัยใหม่นี้ บางครั้งด้วยเหตุผลทางแท๊กติกในการเล่นแต่ละนัดแล้วนั้น ไม่ได้หมายความว่ากัปตันทีมตัวจริงจะได้ลงสนามเป็นตัวจริงสิบเอ็ดคนแรกตลอดไป

บางครั้งอาจจะเป็นรองกัปตันทีมที่ได้ทำหน้าที่แทน แล้วพอเกมผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผู้จัดการทีมหรือโค้ชต้องการแก้เกมนั้น ก็อาจจะมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นที่เป็นกัปตันทีมตัวจริงลงไป ซึ่งแฟนบอลหลายๆท่านก็อาจจะได้เคยเห็นภาพนี้บ่อยๆ เมื่อกัปตันทีมตัวจริงลงสนาม รองกัปตันทีมที่ทำหน้าทีสวมปลอกแขนนั้น

ก็จะวิ่งเอาปลอกแขนกัปตัน มาสวมใส่ให้ นั่นก็บ่งบอกถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ก็มีหลายๆครั้งที่กัปตันทีมตัวจริง ทำหน้าที่หรือแสดงพฤติกรรมที่คนดูหรือแฟนบอลไม่ยอมรับ กัปตันทีมคนนั้นก็เคยโดนปลดกลางอากาศแบบถาวรมาแล้ว และคุณหล่ะจะเลือกกัปตันทีมแบบไหน

เรื่องน่ารุ้ ฮาแลนด์

เฮอร์กิ้ง ฮาแลนด์ ชื่อนี้ เป็นชื่อที่โด่งดังและถูกค้นหาและตั้งคำถามที่สุดในเหล่าแฟนบอล ว่านักเตะคนนี้คือใคร มาจากไหน แล้วเก่งจริงมั้ย 

วันนี้เราจะมาดูกันว่า นักเตะคนนี้คือใคร แล้วจะทำความรู้จักกับเค้ามากขึ้น จากเรื่องส่วนตัวของเค้า

เรื่องแรกคือ นักเตะไอดอล ของเค้าคือ สลาตัน อิบราฮิมโมวิช ซึ่งน่าแปลกที่ไม่ใช่เมสซี หรือ โรนัลโด้ เพราะสไตล์การเล่นของเค้าทุกวันนี้ก็ดูคล้ายคลึงกับไอดอลเค้าจริง

เรื่องสองคือ การดูแลตัวเอง เพราะตั้งแต่อายุสิบหก เด็กคนนี้เริ่มเล่นยิม และยึดแนวทางการทานอาหารของ โรนัลโด้เป็นหลัก ซึ่งดูแล้วโหดจริงๆ

เรื่องสามคือ ได้ลงเล่นชุดใหญ่ตั้งแต่อายุสิบห้าปี กับทีมบรายน์ สโมสรแรกของเค้าในนอร์เวย์

เรื่องสี่คือ ครั้งหนึ่งเคยทำสถิติยิงเกมเดียว ห้าประตู ซึ่งเกมนั้นเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกยูยี่สิบ เมื่อปีที่แล้วระหว่างเกมทีมชาตินอร์เวย์ กับฮอนดูรัส

เรื่องที่ห้าคือ จริงๆแล้วเค้าสามารถเลือกเล่นได้ทั้งอังกฤษและนอร์เวย์ เพราะตัวเค้าเองเกิดที่ลีดส์ สโมสรที่คุณพ่อของเค้า อย่าง ฮาลฟ์ อิงเก้น ฮาแลนด์ เคยค้าแข้งอยู่ แต่สุดท้ายเค้าก็เลือกเล่นให้กับทีมชาตินอร์เวย์

เรื่องที่หก จริงๆ แล้วพ่อแม่ของ ฮาแลนด์ นั้นก็เป็นนักกีฬา จึงไม่น่าแปลกว่าทำไม ฮาแลนด์ ถึงมีความเป็นนักกีฬา ในด้านคุณพ่อคงไม่ต้องบอกเพราะเป็นนักฟุตบอลทีมชาตินอร์เวย์ และอดีตนักเตะลีดส์อยู่แล้ว แต่คุณแม่เป็นนักกีฬาประเภท สัตกรีฑา 

เรื่องที่เจ็ด ฮาแลนด์ เคยทำสถิตโลก เคยกระโดดไกล ของเด็กห้าขวบได้เป็นสถิติโลก แถมสถิตินั้นยังคงมีอยู่ถึงทุกวันนี้

เรื่องที่แปด ความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับโซลชา ซึ่งดีมากๆ ในช่วงตอนที่เป็นผู้จัดการทีมที่โมลด์ อ้าวแต่ทำไม ไม่มาแมนยูหล่ะ

เรื่องที่เก้า ค่าฉีกสัญญาของเค้า กับดอร์ทมุน ถือว่าแพงมหาศาล มีมูลค่าขั้นต่ำถึง เจ็ดสิบห้าล้านยูโร 

เรื่องที่สิบ เค้ามีชื่อในฐานะนักร้องเพลงแรปด้วย เพราะถือว่าเป็นแนวเพลงโปรดของเค้าด้วย ถึงกับมีชื่อย่ออย่าง AKA

เรื่องที่สิบเอ็ด เค้าเป็นดาวรุ่งคนแรกที่ทำลายสถิติในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก นั่นคือลงเล่นแชมป์เปี้ยนลีก สี่เกมแรกและยิงได้ทุกเกม รวมถึง เป็นนักเตะดาวรุ่งคนแรกที่เล่นแชมป์เปี้ยนลีกปีเดียวแล้วยิงได้เกินสิบประตู อีกทั้งพ่วงด้วยกันยิงเกินสิบประตูในแชมป์เปี้ยนลีกเร็วที่สุดจากการเล่นเพียงเจ็ดนัด ก่อนที่จะย้ายมาสร้างสถิติในบุนเดสลีก้า ลงเล่นสองเกมแรกยิงได้ห้าประตู ซึ่งทั้งห้าประตูนั้น มาจากการที่เค้าลงเล่นเป็นตัวสำรองด้วย โหดจริงๆ

สามทหารเสือมิลาน

สโมสรฟุตบอลทุกทีม มักจะมีนักเตะในตำนานเสมอและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตำนาน ของสโมสร เอซีมิลาน ยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลอิตาลีในยุคนั้น

ที่พวกเค้าเคยมี สุดยอดสามทหารเสือชาวดัชต์ ร่วมทีมอยู่ด้วย ซึ่งถือว่านั่นคือยุคทองและยุคที่ประสบความสำเร็จของเอซี มิลานอย่างแท้จริง ซึ่งสามทหารเสือนี้ประกอบไปด้วย

มาร์โก แวนบาสเท่น ในตำแหน่งกองหน้า เริ่มเล่นกับอาแจ๊กซ์ ตั้งแต่อายุสิบหก และคว้าตำแหน่งดาวซัลโว สี่ปีติด และรองเท้าทองคำของทวีป กับแชมป์สามสมัยกับอาแจ๊กซ์

แฟร้งค์ ไรกาจด์ ในตำแหน่งกองหลัง เริ่มเล่นกับสโมสรอาแจ๊กซ์ ด้วยวัยแค่ สิบเจ็ดปี และคว้าแชมป์ลีกถึงสามสมัย และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสองสมัย

รุด กุลลิท ในตำแหน่งกองกลาง ที่เปรียบเสมือนหัวหน้าแกงค์ของสามทหารเสือนี้ เค้าเริ่มเล่นกับสโมสร ฮาเล่ม ด้วยวัยอายุสิบหก ก่อนย้ายมาเฟเยนูรด์ และพีเอสวี และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม สองสมัยของฮอลแลนด์

และความยิ่งใหญ่ของทั้งสาม ในปี 1987 เอซีมิลาน คว้า แวนบาสเท่น กับ รุดกุลิค ต่อด้วยปี 1988 แฟร้งไรกาจด์ ก็ย้ายตามมา และในฤดูกาลนั้นเองที่เหล่าสามทหารเสือได้มารวมตัวกัน พวกเค้าพา ทีมเอซีมิลาน คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพได้เลยทีเดียว ต่อด้วยพวกเค้ายังไปต่อยอดกับทีมชาติฮอลแลนด์ ที่พวกเค้าสามทหารเสือร่วมกันประกาศศักดา พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติ แม้นัดแรกของการแข่งขันทีมฮอลแลนด์จะแพ้ไป เนื่องด้วยนัดนั้น มาร์โก้ แวนบาสเท่น ไม่ได้ลงสนาม

แต่พอมานัดที่สอง แวนบาสเท่น ก็ได้ลงเป็นตัวจริง และจากนั้น ทีมฮอลแลนด์ก็เครื่องติด คว้าชัยชนะ จนล้างอาถรรพ์ คว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นผลสำเร็จซะที โดยในรอบชิงชนะเลิศ มีลูกยิงระดับโลกที่ยังคงกล่าวขานกันจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ ลูกยิงใบไม้ร่วง ของมารโก้ แวนบาสเท่น ที่ยิงใส่ โซเวียต คู่ปรับเก่าของพวกเค้าในรอบแรกที่เอาชนะฮอลแลนด์มา จึงทำให้ฮอลแลนด์ล้างตาเป็นผลสำเร็จด้วยกการเอาชนะไปได้ สองประตูต่อศูนย์

ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ยามใดที่ฮอลแลนด์ ในยุคนั้น มีสามทหารเสืออยู่ในทีม นั่นหมายความว่า ฮอลแลนด์ สามารถเอาชนะชาติอื่นได้ทุกๆชาติ ในยุคนั้น

และในปีนั้นอีกถือว่าเป็นอีกเรื่องที่สุดยอดและยากที่จะเกิดขึ้น เมื่อทั้งสามคนนี้ ถูกรับเลือกให้มีชื่อติดบังลังค์ดอร์ แล้วกวาดรางวัลตั้งแต่อันดับหนึ่งถึงอันดับสามได้เลยทีเดียว โดยปีนั้นคนที่ได้อันดับหนึ่ง คือ แวนบาสเท่น ตามมาด้วย กุลลิท และแฟร้งค์ ไรการด์ ตามลำดับ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าจะมีนักเตะในทีมเดียวกันปีไหนที่จะทำได้แบบนี้อีก